หลวงพ่อสายทอง เตชะธัมโม การปฏิบัติธรรม อย่างเด็ดเดี่ยวและจริงจัง

หลวงพ่อสายทอง ท่านเคยเดินจกรมติดต่อกันได้ยาวนานถึง ๑๓ วัน ภายในถ้ำมโหฬาร อ.หนองหิน จ.เลย ท่านเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน หยุดยืนพักภาวนาชั่วขณะคราวเหนื่อยอ่อน เดินไปฝ่าเท้าร้อนเหมือนเดินบนกองเพลิง เนื้ออ่อนของฝ่าเท้าสุดทานทนต่อการสัมผัสดินอย่างไม่หยุดหย่อน จนฉีกขาดเลือดไหลทะลัก ต้องใช้ผ้าพันแผลแล้วเดินต่อ ทุกขเวทนาก่อตัวรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั้งเป็นมหาทุกข์ คล้ายร่างกายจะระเบิด ทุกข์นี้เป็นเครื่องทดสอบจิตใจ ไหวพริบสติปัญญา ว่าจะสามารถผ่านพ้นทุกข์ – สมุทัย

ไปสู่นิโรธได้หรือไม่

มันนอนไม่ได้ ถ้ามานั่งอย่างนี้ไม่ได้ เป็นไฟไปเลยภายในร่างกาย จะอยู่ได้เฉพาะในทางจงกรม จากนั้นมาวันที่ ๑๓ อุปาทานขันธ์ความยึดมั่นถือมั่นมันวางประมาณบ่ายสองโมงกว่า พอทุกข์มันดับลงแล้วก็ไม่รู้ตัว เดินไปอย่างนั้น ไม่รู้ว่ามืดเมื่อไหร่ พอจิตถอนขึ้นมาอีกที เขาจุดไฟกันแล้ว แต่ความรู้สึกมันเหมือนกับแสงเทียนลอยไปลอยมาอยู่ท่ามกลางทางจงกรม

 

ท่านว่า “ต้องอยู่ในสนามรบ ทุกข์มันเกิดขึ้น ถ้าใจเราไม่แข็งจริงๆ แล้วไปไม่ได้ มันต้องตัดสินใจลงไปว่า ทุกข์มันจะแสนสาหัสขนาดไหน เราก็จะเป็นเพียงผู้รู้ผู้เห็น ถ้าทุกข์ไม่ดับให้เห็นไปกับตาของเรา เราจะไม่ออกจากทางจงกรม กี่วันก็ย่าง(เดิน) กี่คืนก็ย่าง ให้จิตมันหยั่งลงไป ถ้าเดินไม่ได้เราจะคลานลงไป ถ้าคลานไม่ได้เราจะนอนกลิ้งลงไป ทุกข์นี่มันจะดับไหม พอจิตมันหยั่งลงไปในความสงบ ทุกข์ดับมันก็รู้

เมื่อทุกข์มากๆ มันไม่มีเรื่องอื่น มีแต่เรื่องใจกับเวทนา พูดอย่างนั้นเลย รูปมันก็ตั้งอยู่อย่างนั้น ปัญญานั่นแหละห่ำหั่นความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ทั้งห้า ตัวนี้หล่ะมันแรง ยึดไม่มีประมาณ อันนี้ก็เป็นของเรา มือไม้อะไรยึดเอาหมด มันว่าเป็นของเรา ไม่ยอมปล่อย เหนียวแน่นยิ่งกว่าอะไรเสียอีก ถ้ามันจนตรอกจนมุมจริง มันไม่ยอมปล่อย จนตรอกจนมุมในที่สุด ตายก็ตายตัดพรึ่บแค่นั้น !

พอทุกข์ดับลงเราก็รู้นะ เวทนามันไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เวลามันปล่อยวางอุปาทานขันธ์มันเป็นอย่างนี้แหละ จากนั้นจะให้มันยึดอีกมันก็ไม่ยึดละ ถ้าเป็นนักมวยเอาชนะกันสักครั้งหนึ่ง โอ้โฮ กำลังใจดีมากเลยในการต่อสู้ มาตอนหลังเวลาล้มป่วย หลวงพ่อไม่เคยให้ยา…ปล่อย ไอ้การปล่อยตัวนี้แหละก็คือว่า เอ้า…มันจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยมันหล่ะ ไม่เสียดายละ มันจะแตกคืนนี้ก็แตก มันจะแตกพรุ่งนี้หรือเวลาไหนก็เป็นเรื่องของมัน แต่ก็ไม่แตกดับ มันยังไม่ถึงวาระมันก็ยังไม่ตาย จากนั้นมาถึงคราวล้มป่วยลงยิ่งสบาย จิตมันรวมเข้ามา ไม่ได้กำหนดอะไรยากเลย มันเป็นของมันอัตโนมัติเลย

ปัญญานี่แหละ ที่ใช้อบรมจิตใจให้มันคลายจากความยึดมั่น พิจารณาอยู่เป็นนิจ ทุกข์เกิดจุดไหนก็พิจารณา จุดนี้หล่ะสำคัญ “ปัญญา” แสงสว่างใดจะเสมอเหมือนด้วยปัญญาไม่มี ในธรรมทั้งหลายทั้งปวงก็รวมลงมาในจุดนี้ นัตถิ ปัญญา สมาอาภา คำสั่งสอนทั้งหลายรวมลงมาจุดนี้ สมาธิทำให้จิตใจสงบมีอยู่อารมณ์เดียวนั่นแหละ นอกจากนั้นปัญญาห่ำหั่นแยกแยะออก ในที่สุดมันก็จะขาดพรึ่บลง กองทุกข์ทั้งหลายจิตมันปล่อย พูดง่ายๆ ทุกข์ทั้งหลายมันปล่อย ปล่อยขันธ์ ความยึดมั่นถือมั่นมันปล่อยลงพรึ่บนี่มันก็เบาๆ เหมือนกับนุ่นที่มันลอยไปลอยมานี่ละ นั่น…เบาถึงขนาดนั้น เดินเหินไปไหนมาไหนปกติทุกอย่าง เป็นอย่างนั้น เป็นคนละส่วนไปเลย ทุกวันนี้เดินทั้งวันทั้งคืนมันก็ไม่ยึดทุกข์…อยู่ได้

 

Post a Comment

Previous Post Next Post